การย้ายระบบแบบ cutover migration นั้น จะต้องทำการย้ายทุก user พร้อมกันภายในครั้งเดียว โดยเงื่อนไขในการย้ายระบบจาก on-premises Exchange Server สู่ Office 365 มีดังนี้ ระบบ on-premises Exchange Server จะต้องเป็น Microsoft Exchange Server 2003 หรือสูงกว่า จะต้องมีจำนวน mailboxes ไม่เกิน 2,000 mailboxes แต่ทาง Microsoft แนะนำว่าจำนวนที่เหมาะสมที่สุดคือ 150 mailboxes หรือน้อยกว่า Domain บนระบบ on-premises จะต้องตรงกับบนระบบ Office 365 สามารถ Active licenses หลังจากย้ายระบบได้ ขั้นตอนการย้ายระบบ ข้อมูลเพิ่มเติมhttps://docs.microsoft.com/en-us/exchange/mailbox-migration/cutover-migration-to-office-365
สำหรับการย้ายระบบการใช้งานจาก on-premises Exchange Server ไปที่ Office 365 ผู้ดูแลระบบสามารถดำเนินการได้เองที่ Microsoft 365 admin center >> Setup >> Data Migration โดยสามารถย้ายในส่วน email, calendar, และ contacts ซึ่งมี 3 วิธีการในการย้ายระบบด้วยกัน การจะเลือกใช้วิธีไหนในการย้ายระบบ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆของ Environment ลูกค้า ซึ่งสามารถดูความแตกต่างได้จากตารางด้านล่าง Migration option Source messaging system Comments Can keep mailboxes on-premises? Cutover migration Exchange 2016, Exchange 2013, Exchange 2010, Exchange 2003, Exchange 2007, Supports up to 2000 mailboxes, best for 150 or fewer. NO Staged migration Exchange 2007, Exchange 2003 Requires directory synchronization. Recommended if more than 150 mailboxes. Yes Hybrid Exchange 2016, Exchange 2013, Exchange 2010 Requires directory synchronization. Provides seamless functionality across environments. Yes
จากการสำรวจความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการ Migrate อีเมลชั้นนำ เราได้พบกับคำแนะนำที่น่าสนใจ 6 ประการเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเตรียมจะย้าย กำลังย้าย และหลังจากย้ายอีเมลจาก Exchange Server มายัง Office 365 ดังต่อไปนี้ครับ 1. Delegation Vs. Impersonation สองสิ่งนี้มีความต่างกันในเรื่องคำนิยามครับ โดยแบ่งแยกได้ตามนี้ Delegation คือการเก็บ logging ของ individual user mailboxes ผ่านทาง admin account ที่มี global permission Impersonation คือวิธีการที่ตรกันข้ามเลย คือ การที่ admin ปลอมตัว (impersonate) ไปเป็นแต่ละ user เองในช่วงของการ migrate และสามารถใช้ credentials ในอีเมลนั้นเพื่อ scan หรือ copay ข้อมูลโดยที่ไม่ต้องใส่ password ในแต่ละขั้นของกระบวนการ สำหรับโครงการ migration ขนาดใหญ่ วิธีการ Impersonation จะเหมาะกัว่าเพราะรวดเร็วและลดปัญหาที่อาจพบในระหว่างทาง สำหรับกรณีของการย้านจาก Exchange Server ไป Office 365 นั้น แนะนำให้ใช้วิธี Impersonation มากกว่า 2. Understanding Data Speeds กระบวนการของ Migrationไม่อาจเกิดขึ้นได้ภายในพริบตา เพราะมีปัจจัยที่หลากหลายที่จะกระทบต่อ migration ได้ ซึ่งยากต่อการคาดเดาในหลายๆ กรณี ปัจจัยที่ว่านี้ได้แก่ ource, system load, internet bandwidth หรือแม้แต่ folder structure ในฝั่งของ Cloud Provider เองก็มี limit บางอย่าง แต่ก็มีทางในการ adjust ค่า limit เหล่านี้ได้ (คลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม) ตัวอย่างของการย้ายจาก Exchange Server ไป Office 365 นั้น เราจะเห็น average speed อยู่ที่ 750MB per user, per hour และมี high end อยู่ที่ 1.25GB และ low end อยู่ที่ 250MB และแนะนำว่าควรลองย้ายจำนวนน้อยๆ ก่อนในช่วงของ pre-migration step เพื่อทดสอบความเร็วว่าเพียงพอหรือไม่ 3. Hot Cut or Cool Phase? สำหรับการ migrate แบบ cut over หรือบางทีก็เรียกว่า hot cut นั้น จะมักเกิดขึ้นในเคสที่ลูกค้ามีระยะเวลาจำกัด แบบ 1 วันต้องย้ายไปหมด ในกรณีแบบนี้ Users จะถูกย้ายไปพร้อมกับข้อมูลล่าสุดย้อนหลัง 90 วัน และจากนั้นก็อัพเดท MX Records เพื่อเปลี่ยนเส้นทางของอีเมลไปยังระบบใหม่ครับ จากนั้นไอทีค่อยกลับมา copy หรือย้ายส่วนที่เหลือที่เก่ากว่า 90 วันย้อนกลังไปยัง inbox ใหม่ครับ วิธีการนี้พอจะช่วยลด impact ที่จะเกิดขึ้นกับusers ได้พอสมควร หากกรณีที่ไม่ cut over แล้ว การทำ phased migration หรือแบ่งเป็นช่วงๆ ก็ทำได้ ซึ่งนิยมทำกันในแบบโครงการใหญ่ๆ ที่มีระยะเวลายาวนานพอให้จัดการหลายส่วน ได้ กรณีนี้ users จะถูกย้ายไปเป็น batch มากกว่าไปพร้อมกันทีเดียว การแบ่ง phase เองก็มักแบ่งไปตามแผนก ระดับบริหาร กรือโครงสร้างของเน็ตเวิร์ค หรือปัจจัยอื่นๆ แล้วแต่ความจำเพาะขององค์กรครับ 4. Avoiding User Interruptions ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม เป้าหมายหลักของการย้ายคือ "ต้องลด downtime" ให้เหลือน้อยที่สุด ในทุกโครงการเองย่อมพบเจอ error เสมอ และการระบุปัญหาและทางแก้ไขให้เร็วที่สุดคือสิ่งสำคัญ เครื่องมือที่ใช้ในการ migrate เองย่อมต้องมีระบบจัดการที่ดีพอและสามารถวิเคราะห์ปัญหาพร้อมเสนอทางแก้ไขได้ทันที เพื่อให้ผู้จัดการดครงการสามารถเข้าไปแก้ไขได้ทันเวลา และไม่กระทบต่อการทำงานของ User 5. Leveraging DMA and DeploymentPro มีสองเครื่องมือที่อยากจะแนะนำในการ config ครับ ได้แก่ 2 ตัวนี้ Device Management Agent (DMA) มีทั้งแบบ client หรือ gateway ทำหน้าที่เก็บข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ customer’s computers เช่น name, users, OS version, memory และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้การประเมิน pre-migration environment และการดำเนินโครงการเป็นไปได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ในขณะที่ DMA client รวบรวมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ที่ถูกติดตั้งนั้น ทาง DMA gateway ก็จะทำการ discovery scan ตัว Active Directory ของเครื่องเพื่อหา items ประเภท servers, computers, users และ groups ไปพร้อมๆ กัน DeploymentPro เป็น module หนึ่งใน DMA ที่ช่วย configure Outlook email profiles สำหรับการ send and receive email จาก Office 365 กรณีที่กำหนดวัน cutover date แล้ว ไอทีจะตั้งเวลา date/time ใน DeploymentPro ตามนั้น พอถึงเวลาก็จะส่งสัญญาณไปยัง agents เพื่อทำการ flip ตัว profile นั้นๆ และจะดำเนินการ action ต่อไปนี้ Creates a new mail profile (can bypass Autodiscover) Attaches any existing locally-stored PSTs from the current default mail profile Copies over signatures from the current default profile; Copies over autocompletes from the current default mail profile 6. Enabling Advanced Options การตั้งค่าบนเครื่องมือ Migration tool แบบ advanced จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้รับ notifications ตามสมควร ทำให้รู้ความคืบหน้าของโครงการและปัญหาที่เกิดขึ้น และยังสามารถเลอืก filter การตั้งค่าให้เป็นเฉพาะ folder set หรือ sub folder inbox ได้ด้วย ซึ่งสุดท้ายคุณก็จะมี audit log ออกมาพร้อมรายงานหลังจากที่ migrate เสร็จสิ้นแล้วครับ ข้อมูลอ้างอิง: https://blog.bittitan.com/mw-exchange-office-365-migration-6-best-practices/
การย้ายข้อมูลจากระบบ Google Workspace ไปสู่ Microsoft 365 สามารถทำได้โดยใช้วิธี IMAP Migration ซึ่งจะต้องเปิดการใช้งาน IMAP บน Google Workspace เพื่อให้สามารถเชื่อต่อ Protocol ได้ สิ่งที่ควรพิจารณา จะย้ายได้เฉพาะในส่วนเมล์และเมล์ใน folder ต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมา จะไม่สามารถย้ายในส่วน contacts และ calendar ได้ จำนวนเมล์ที่สามารถย้ายได้สูงสุด อยู่ที่ 500,000 เมล์ ขนาดเมล์ใหญ่สุดต้องไม่เกิน 35 MB จะต้องปิดระบบ 2-Step Verification ระหว่างย้ายข้อมูล ต้องมี Password ของ Google Workspace ทุก Account ต้องทำการ Assign license บนระบบ Microsoft 365 ให้เรียบร้อยก่อนทำการย้ายระบบ ขั้นตอนการย้ายระบบ ข้อมูลเพิ่มเติมhttps://docs.microsoft.com/en-us/exchange/mailbox-migration/migrating-imap-mailboxes/migrating-imap-mailboxes
การย้ายข้อมูลอีเมลหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า Email Migration นั้น หลายคนมองว่าเป็นงานที่ใหญ่และยุ่งยาก ต้องมีการเตรียมการที่ซับซ้อนและใช้บุคลากรหลายทีม ซึ่งจริงๆ แล้วหากมีการวางแผนงานที่ดี และมีขั้นตอนที่ถูกต้องพร้อมแล้ว การย้ายอีเมลข้ามระบบนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวลมากเท่าไรนัก นอกจากนั้น สมัยนี้มีซอฟต์แวร์ช่วยเหลือเป็นจำนวนมากที่ทำให้การย้ายอีเมลของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่กระทบต่อการทำงานของ User ปัจจัยที่ต้องพิจารณา ก่อนที่จะเริ่มโครงการ ผู้จัดการโครงการควรพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญ เพราะนอกเหนือไปจากเรื่องของค่า Software License แล้ว เวลาและค่าใช้จ่ายที่เสียไปในช่วงของ Email Migration เองนับว่ามีผลกระทบต่อธุรกิจมากเช่นกัน ปัจจัยที่ควรมองในช่วงของการวางแผน Migration นั้น ได้แก่ปัจจัยดังต่อไปนี้ Costs – ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการย้ายไม่ว่าจะเป็นค่า License ของ Third-party software และค่าแรงของทีมงาน Data preservation – ความเสี่ยงที่เป็นไปได้ว่าจะมีข้อมูลส่วนใดที่อาจตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการสูญหายในช่วงของการ Migration How long will the email migration take? – ระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้ในช่วงของการย้ายอีเมล Downtime – ในช่วงของ Migration จะมีระยะเวลา email system downtime เท่าไร Directory migration – ในการย้ายอีเมลบ่อยครั้งจำเป็นต้องย้าย directory ด้วย ข้อมูลส่วนนี้ควรจะต้องพิจารณาให้ครบถ้วนด้วย Email archiving – การทำ Archiving ช่วยให้องค์กรเป็นไปตาม compliance ได้ และยังช่วยจัดการและปกป้องข้อมูลได้ดีด้วย ทำให้ขั้นตอนต่างๆ ในการย้ายเป็นไปได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ปกติแล้ว ระบบอีเมลที่นิยมใช้กันนั้นจะมีลักษณะจำเพาะแตกต่างกันในการรายละเอียด เพราะฉะนั้นจะต้องนำรายละเอียดจำเพาะมาพิจารณาในการวางแผน Migration ด้วย แต่โดยทั่วไปแล้ว แผนงานโครงการย้ายอีเมลมักประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ ขั้นตอนในโครงการย้ายอีเมล Step 1: Migration Project Assessment, Planning and Design ความชัดเจนในกรอบงาน และเส้นทางการย้ายอีเมลของคุณควรจะต้องชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นโครงการ โดยควรตั้งคำถามเริ่มต้นดังนี้ก่อน คุณมี Resource อะไรอยู่แล้วในการใช้งาน คุณต้องใช้ Resource อะไรบ้าง คุณมีเวลาเท่าไรในการย้ายตั้งแต่เริ่มต้นจนจบงาน และเมื่อประเมินได้ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนของเส้นแผนงานควรเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่คุณมี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ควรลืมว่าโครงการของคุณควรต้องตอบโจทย์สิ่งเหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน What are your business requirements? (Disaster Recovery, Compliance, etc.) What are your storage requirements? How much data do you need to retain? How much data do you want to inject into the new email system? What data do you need to migrate (mail, appointments, address books, etc.)? When do you want to migrate users (certain times, days, weeks, months)? Can you afford any downtime? Are you compliant? Do you need to review old and/or establish new email retention policies? Could your organization use an archiving solution once the migration is complete? Step 2: Archiving Data in Your Existing System คุณควรจะต้องเตรียมข้อมูลเดิมเพื่อใช้ในการทำ data extraction และ archiving ด้วย ดังนั้น คุณควรจะมีฮาร์ดแวร์ให้พร้อม และมี archiving solution ที่เหมาะสม การทำ archiving ก่อน migration จะช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลที่จะย้ายไประบบใหม่รวมทั้งลดเนื้อที่ของ storage และลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ลงได้ด้วย Step 3: User Provisioning and Client Deployment ก่อนที่จะย้ายไปยังระบบใหม่ คุณควรต้องสร้าง user บน Directory ใหม่ก่อนและ enable email ให้กับทุก user นั้นเพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันทีหลังจากย้ายอีเมลไปแล้ว ซึ่งในการนี้คุณอาจจะต้องย้าย address book, distribution list รวมทั้ง proxy rights และอื่นๆ อีกมากมายตามไปด้วย Step 4: Data Injection เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว คุรก็สามารถ inject ไฟล์ archived email ไปยังระบบใหม่ได้ ทั้งนี้ในขั้นตอนของการ injection นั้นอาจแตกต่างกันในแต่ละระบบ Step 5: Cut Over to the New Email System เทคนิคนี้เรียกว่าการ cutover ซึ่งหมายถึงการนัดวันย้ายกับ user อย่างชัดเจน ส่วนมากในขั้นตอนนี้คืการย้ายเสิ้นทางเดินของอีเมลไปยังอีเมลระบบใหม่นั่นเอง Step 6: Completing Post-Migration Tasks สิ่งที่ต้องทำหลังจากที่ย้ายอีเมลไปแล้วคือการตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ของสิ่งที่ย้ายไป เช่น mail flow, appointment และ task scheduling ฯลฯ รวมทั้งการอบรมการใช้งานทั้งในส่วนของ User และ Admin ด้วย